

แต่เมื่อเข้ารุ่นที่ 3 กระแสโลกดิจิทัลมาแรงและรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจที่ดูแลด้วยระบบแบบเก่าต้องเผชิญความท้าทายในการปรับตัว หลายรายยังคงยึดติดกับธุรกิจรูปแบบเดิม เพราะคนช่วงวัยเบบี้บูมเมอร์จะมีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่า ตนเคยนำพาธุรกิจให้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว ทำให้เกิดเป็นช่องว่างที่คนรุ่นพ่อแม่ของเรายังไม่เปิดรับความคิดและวิธีการใหม่ ๆ ทั้งยังไม่วางใจให้คนรุ่นลูกเข้ามารับช่วงต่อแบบ 100% ส่วนคนรุ่นใหม่เองก็อาจต่อต้านความคิดแบบเดิม มองว่าล้าหลัง ฯลฯ
เราจะหาจุดกึ่งกลางระหว่างคนสองรุ่นได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวสามารถฝ่าฟันกระแสโลกดิจิทัลไปยืนสง่า ณ จุดที่ดีกว่าที่เป็นอยู่ได้? วันนี้เราเลยอยากแนะนำวิธีดี ๆ มาให้ลองอ่านกันครับ
เราสามารถอธิบายคุณพ่อคุณแม่ได้ว่า ในยุคหนึ่งที่ผู้บริโภคอยู่แต่บนหน้าหนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์ ตอนนั้นธุรกิจก็ใช้ประโยชน์จากสื่อดั้งเดิมเหล่านั้นในการทำธุรกิจ ส่วนสมัยนี้ผู้บริโภคแค่เปลี่ยนถ่ายย้ายที่ มาอยู่ในแพลตฟอร์มออนไลน์เท่านั้นเอง เราอาจลองปรับสัดส่วนจากสื่อดั้งเดิมมาใช้ประโยชน์จากสื่อออนไลน์ที่ผู้บริโภคนิยมและใช้เวลากับมันมากกว่า
เมื่อพ่อแม่เริ่มเห็นความสำคัญกับเรื่องนี้แล้ว เราก็ค่อย ๆ ชวนท่านพูดคุยถึงการตลาดโซเชียลมีเดียเป็นลำดับถัดไปครับ โดยอาจยกตัวอย่างเคสที่ประสบความสำเร็จมาเล่าให้ท่านได้เห็นภาพ เช่น การรีแบรนด์แป้งหอม “ศรีจันทร์” ที่กลายมาเป็นแบรนด์เครื่องสำอางชั้นนำ เป็นต้น
ข้อนี้สำคัญที่สุดครับ เพราะคนรุ่นพ่อแม่จะมีประสบการณ์ในธุรกิจมานานกว่าเรา ในขณะที่คนรุ่นใหม่มักไฟแรง เวลาอยากทำอะไรก็มั่นใจเต็มที่ ทั้งที่ยังขาดประสบการณ์ในบางเรื่อง ต้องอาศัยการแชร์ความรู้และให้คำปรึกษากันภายในครอบครัวเพื่อประคับประคองให้คนรุ่นใหม่ไม่หลงทาง และให้คนรุ่นก่อนได้มีบทบาทในฐานะ “พี่เลี้ยงทางธุรกิจ” ได้มากขึ้น ไม่ให้เขารู้สึกว่าถูกริดรอนบทบาทไปเสียเลยทีเดียว
การเปลี่ยนแปลงมักนำมาซึ่งความยุ่งยากในช่วงแรก และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นท่ามกลางอคติของคนในครอบครัว ยิ่งส่งผลลบต่อความสัมพันธ์ เพราะฉะนั้นการปรับตัวต้องค่อยเป็นค่อยไป อย่าเร่งรีบครับหากทุกคนในครอบครัวมีเจตนาที่ดีที่ช่วยกันสานต่อธุรกิจให้เจริญก้าวหน้าแล้วล่ะก็ การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างจะส่งผลที่ดีตามมาอย่างแน่นอน ขอแค่ใจเย็นพอที่จะรอดูความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นร่วมกันเท่านั้น
ธุรกิจกงสีจำนวนมากต้องรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในกระแสโลกดิจิทัล บางธุรกิจถึงกลับต้องแตกไลน์ขายสินค้าอย่างอื่นเป็นหลัก แทนสินค้าที่ตัวเองขายมาเนิ่นนาน เพราะสินค้าที่เคยจำหน่ายได้รับความนิยมน้อยลงในปัจจุบัน เช่น ร้านแมงป่องที่เคยเป็นร้านจำหน่ายซีดี วีซีดีชั้นนำของไทย ได้ปรับกิจการมาขายเครื่องสำอางแบรนด์ Stardust เป็นต้น การสู้เท่านั้นที่จะทำให้ธุรกิจอยู่ต่อได้
ดังนั้น หากคุณเป็นสมาชิกคนหนึ่งในธุรกิจกงสี จงอย่ากลัวการเปลี่ยนแปลง แต่จงกลัวการอยู่กับที่เริ่มต้นพูดคุยกันในครอบครัวและร่วมแรงร่วมใจกันตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าอย่างไรธุรกิจครอบครัวที่มีประวัติความเป็นมายาวนานยังคงมีรากฐานเหนียวแน่นเสมอครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก Forbes Thailand, Brand Buffet